กฎกระทรวง ฉบับที่ 364 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการนำส่งภาษี ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2563 ได้วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกรณีผู้มีหน้าที่นำส่งภาษีเลือกใช้วิธีการนำส่งภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางธนาคารตาม มาตรา 3 ปัณรส แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งสามารถสรุปดังนี้
ก. ธนาคารจะต้องยื่นคำขอต่ออธิบดีกรมสรรพากรตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีประกาศกำหนด
ข. ภาษีที่ธนาคารสามารถนำส่งแทนผู้จ่ายเงินได้ คือ
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ทุกรายการทั้งกรณีการจ่ายให้กับบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้อยู่ในประเทศและต่างประเทศ
- ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้ประเภทต่างๆ อาทิ ค่าว่าจ้างทำของ ค่าสิทธิ ดอกเบี้ย/เงินปันผล/กำไรจากการขายหุ้นหรือตราสารหนี้/เงินลดทุน/ผลประโยชน์จากการควบโอนกิจการ ค่าเช่า และเงินได้ค่าวิชาชีพอิสระ ที่จ่ายให้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศที่ไม่ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย และการจำหน่ายเงินกำไรให้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศ
- ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ทอดตลาดซึ่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องนำส่ง และ
- ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้จ่ายเงินค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการมีหน้าที่นำส่งต่อกรมสรรพากร กรณีผู้ประกอบการต่างประเทศเข้ามาขายสินค้าหรือให้บริการโดยไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือให้บริการในต่างประเทศแต่มีการใช้บริการในประเทศไทย
ค. เมื่อธนาคารได้รับเงินจากผู้มีหน้าที่นำส่งภาษี จะต้องออกหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์แสดงการรับชำระเงินให้ผู้มีหน้าที่นำส่ง โดยจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่วางโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรต่อไป
ง. ธนาคารต้องนำเงินภาษีส่งกรมสรรพากรภายในกำหนดเวลาที่ตกลงไว้กับกรมสรรพากรแต่ต้องไม่เกิน 4 วันทำการนับถัดจากวันที่ธนาคารได้รับเงินค่าภาษีและรายการจากผู้มีหน้าที่นำส่งภาษี
จ. เมื่อกรมสรรพากรได้รับเงินจากธนาคารจะออกใบเสร็จรับเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ผู้มีหน้าที่นำส่งภาษีจึงถือว่าเป็นการเสียภาษีอากรที่สมบูรณ์